รีไฟแนนซ์บ้าน 2567 ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง มาดูกัน
ในยุคเศรษฐกิจที่ผันผวน ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลายคนอาจมองหาทางออกเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย หนึ่งในนั้นคือ
การรีไฟแนนซ์บ้าน
การรีไฟแนนซ์บ้าน เปรียบเสมือนการปลดล็อกศักยภาพของบ้าน เปลี่ยนจากภาระหนี้สิน ให้กลายเป็นโอกาสทางการเงิน
ปี 2567 นี้ ถือเป็นโอกาสทองสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้าน ด้วยเหตุผลหลักๆ ดังนี้
อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านอยู่ในระดับต่ำ: ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเสนอโปรโมชั่นดอกเบี้ยพิเศษต่ำกว่า MRR ลงมา
เริ่มต้นเพียง 1.99% ต่อปี
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว: ผู้คนมีกำลังซื้อและความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
ธนาคารมีผลิตภัณฑ์รีไฟแนนซ์ที่หลากหลาย: ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้าน ผู้กู้ควรเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้
1. ศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่นจากธนาคารต่างๆ
การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่นจากธนาคารต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการและคุ้มค่าที่สุด บทความนี้จะช่วยคุณเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านจากธนาคารไทยชั้นนำในปี 2567
ธนาคารที่รวมไว้ในบทความนี้:
- ธนาคารกรุงไทย
- ธนาคารกรุงเทพ
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารทหารไทย
- ธนาคารออมสิน
- ธนาคารธอส.
ประเภทของสินเชื่อบ้าน:
- สินเชื่อบ้านเพื่อซื้อ
- สินเชื่อบ้านเพื่อรีไฟแนนซ์
- สินเชื่อบ้านเพื่อก่อสร้าง
- สินเชื่อบ้านเพื่อปล่อยเช่า
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา:
- อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่และแบบลอยตัว เลือกธนาคารที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด
- ระยะเวลาผ่อนชำระ: เลือกระยะเวลาผ่อนชำระที่เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชำระของคุณ
- ค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการขอสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมการประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์
- โปรโมชั่น: หลายธนาคารเสนอโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ดอกเบี้ยพิเศษ เงินคืน หรือของแถม เปรียบเทียบโปรโมชั่นต่างๆ และเลือกธนาคารที่เสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของคุณ
- บริการ: เลือกธนาคารที่มีบริการที่ดีและสะดวก
- ความน่าเชื่อถือ: เลือกธนาคารที่มีความน่าเชื่อถือและมั่นคง
2. ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือและเงื่อนไขการผ่อนชำระของสินเชื่อบ้านปัจจุบัน
การติดตามยอดหนี้คงเหลือและเงื่อนไขการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านของคุณเป็นสิ่งสำคัญ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะแนะนำวิธีการตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือและเงื่อนไขการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านปัจจุบันของคุณ
วิธีการตรวจสอบ:
1. ติดต่อธนาคาร:
- วิธีที่ง่ายที่สุดคือการติดต่อธนาคารที่คุณกู้สินเชื่อบ้านไว้ เจ้าหน้าที่ธนาคารจะสามารถแจ้งยอดหนี้คงเหลือ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระที่เหลือ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- คุณสามารถติดต่อธนาคารผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สาขาธนาคาร โทรศัพท์ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันมือถือ
2. ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันมือถือ:
- หลายธนาคารมีเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือที่คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลสินเชื่อบ้านของคุณได้
- log in เข้าสู่ระบบด้วยรหัสผ่านของคุณ
- คุณจะสามารถดูยอดหนี้คงเหลือ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระที่เหลือ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
3. ตรวจสอบผ่านสมุดบัญชีเงินฝาก:
- บางธนาคารอาจพิมพ์ข้อมูลสินเชื่อบ้านของคุณลงในสมุดบัญชีเงินฝาก
- ตรวจสอบสมุดบัญชีเงินฝากของคุณเพื่อดูข้อมูลยอดหนี้คงเหลือ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาผ่อนชำระที่เหลือ
เอกสารที่ควรเตรียม:
- เลขบัญชีสินเชื่อบ้าน
- บัตรประชาชน
ข้อมูลที่ควรทราบ:
- ยอดหนี้คงเหลือ
- อัตราดอกเบี้ย
- ระยะเวลาผ่อนชำระที่เหลือ
- วันที่ครบกำหนดชำระงวด
- จำนวนเงินงวดที่ต้องชำระ
- ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับ:
- ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือและเงื่อนไขการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านของคุณเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- เก็บสำเนาเอกสารสำคัญเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านของคุณไว้ในที่ปลอดภัย
- ติดต่อธนาคารทันทีหากคุณมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านของคุณ
การตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือและเงื่อนไขการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านของคุณเป็นประจำ จะช่วยให้คุณ:
- วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เตรียมพร้อมสำหรับการผ่อนชำระงวด
- หลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมล่าช้า
- ตัดสินใจเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านของคุณ
3. ประเมินเครดิตบูโรของตนเอง:
เครดิตบูโร หรือ ข้อมูลเครดิต เป็นข้อมูลที่รวมถึงประวัติการชำระหนี้ของคุณ ข้อมูลนี้ถูกจัดเก็บโดยบริษัทข้อมูลเครดิต สถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเพื่อประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่อแก่คุณ
การมีเครดิตบูโรที่ดี จะช่วยให้คุณ:
- ขอกู้สินเชื่อได้ง่ายขึ้น
- ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดี
- มีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ จากสถาบันการเงิน
ในทางตรงกันข้าม การมีเครดิตบูโรที่ไม่ดี อาจทำให้คุณ:
- ขอกู้สินเชื่อได้ยาก
- ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูง
- ถูกปฏิเสธการสมัครสินเชื่อ
- ถูกจำกัดสิทธิประโยชน์อื่นๆ จากสถาบันการเงิน
คุณสามารถประเมินเครดิตบูโรของตนเองได้ โดย:
1. ขอรายงานเครดิตบูโรฟรี:
- คุณมีสิทธิ์ขอรับรายงานเครดิตบูโรฟรี 1 ครั้งต่อปี จากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB)
- คุณสามารถขอรายงานเครดิตบูโรฟรีได้ทางเว็บไซต์ https://www.ncb.co.th/ หรือโทร 1150
2. ตรวจสอบรายงานเครดิตบูโร:
- เมื่อคุณได้รับรายงานเครดิตบูโรแล้ว ให้ตรวจสอบข้อมูลในรายงานอย่างละเอียด
- ตรวจสอบว่าข้อมูลถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ หากพบข้อมูลที่ผิดพลาด คุณต้องแจ้งให้ NCB แก้ไขข้อมูล
3. ประเมินคะแนนเครดิต:
- รายงานเครดิตบูโรจะแสดงคะแนนเครดิตของคุณ คะแนนเครดิตเป็นตัวเลขที่แสดงความน่าจะเป็นที่คุณจะชำระหนี้ของคุณตรงเวลา
- คะแนนเครดิตที่ดีมีค่าตั้งแต่ 650 ขึ้นไป
4. วิเคราะห์ประวัติการชำระหนี้:
- รายงานเครดิตบูโรจะแสดงประวัติการชำระหนี้ของคุณ รวมถึงประเภทของสินเชื่อ วงเงินสินเชื่อ ยอดหนี้คงเหลือ และประวัติการชำระเงิน
- วิเคราะห์ประวัติการชำระหนี้ของคุณเพื่อดูว่ามีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง
5. วางแผนปรับปรุงเครดิตบูโร:
- หากคุณมีเครดิตบูโรที่ไม่ดี คุณสามารถวางแผนปรับปรุงเครดิตบูโรของคุณได้ โดย:
- ชำระหนี้ตรงเวลาเสมอ
- รักษายอดหนี้คงเหลือให้น้อย
- หลีกเลี่ยงการขอสินเชื่อใหม่บ่อยๆ
- ปิดบัญชีที่ไม่ใช้งาน
การประเมินเครดิตบูโรของตนเองเป็นประจำ จะช่วยให้คุณทราบสถานะเครดิตของคุณ และวางแผนปรับปรุงเครดิตบูโรของคุณให้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพทางการเงินของคุณในระยะยาว
4. เตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์:
การรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน เป็นการเปลี่ยนสินเชื่อบ้านปัจจุบันของคุณกับธนาคารใหม่ โดยทั่วไป ผู้คนทำรีไฟแนนซ์เพื่อ:
- ลดอัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านปัจจุบันของคุณสูง คุณอาจสามารถรีไฟแนนซ์เพื่อรับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยในระยะยาว
- ลดระยะเวลาผ่อนชำระ: คุณอาจสามารถรีไฟแนนซ์เพื่อลดระยะเวลาผ่อนชำระ ซึ่งจะช่วยให้คุณผ่อนชำระสินเชื่อบ้านของคุณเร็วขึ้น และจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดน้อยลง
- เปลี่ยนประเภทของสินเชื่อ: คุณอาจสามารถรีไฟแนนซ์เพื่อเปลี่ยนประเภทของสินเชื่อ ตัวอย่างเช่น คุณอาจเปลี่ยนจากสินเชื่อบ้านแบบคงที่เป็นสินเชื่อบ้านแบบลอยตัว
ก่อนที่คุณจะยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ คุณต้องเตรียมเอกสารที่จำเป็น เอกสารเหล่านี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับธนาคาร แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณจะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้:
เอกสารส่วนตัว:
- บัตรประชาชน (ตัวจริงและสำเนา)
- ทะเบียนบ้าน (สำเนา)
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน
- หนังสือสัญญาจ้างงาน (ถ้ามี)
- หลักฐานแสดงรายได้อื่นๆ (ถ้ามี)
เอกสารเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านปัจจุบัน:
- สำเนาสัญญาสินเชื่อบ้าน
- สำเนาโฉนดที่ดิน
- หนังสือรับรองการประเมินราคาที่ดิน
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
เอกสารอื่นๆ:
- เอกสารแสดงที่มาของเงินดาวน์ (ถ้ามี)
- หลักฐานการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านปัจจุบัน (ถ้ามี)
เมื่อคุณเตรียมเอกสารครบถ้วนแล้ว คุณสามารถติดต่อธนาคารเพื่อยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ธนาคารจะประเมินสถานะทางการเงินของคุณ และเสนออัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการผ่อนชำระให้กับคุณ คุณควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารหลายแห่งก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์
เคล็ดลับ:
- เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์
- เปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารหลายแห่ง
- อ่านสัญญาสินเชื่อรีไฟแนนซ์อย่างละเอียดก่อนเซ็นชื่อ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหากคุณมีคำถาม
การรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน อาจช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าดอกเบี้ย และปรับปรุงสภาพคล่องทางการเงินของคุณ อย่างไรก็ตาม คุณควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารหลายแห่งก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์
5. เลือกธนาคารและโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการ:
เลือกธนาคารและโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการการยื่นขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน เป็นการเปลี่ยนสินเชื่อบ้านปัจจุบันของคุณกับธนาคารใหม่ โดยทั่วไป ผู้คนทำรีไฟแนนซ์เพื่อ:
- ลดอัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านปัจจุบันของคุณสูง คุณอาจสามารถรีไฟแนนซ์เพื่อรับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยในระยะยาว
- ลดระยะเวลาผ่อนชำระ: คุณอาจสามารถรีไฟแนนซ์เพื่อลดระยะเวลาผ่อนชำระ ซึ่งจะช่วยให้คุณผ่อนชำระสินเชื่อบ้านของคุณเร็วขึ้น และจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดน้อยลง
- เปลี่ยนประเภทของสินเชื่อ: คุณอาจสามารถรีไฟแนนซ์เพื่อเปลี่ยนประเภทของสินเชื่อ ตัวอย่างเช่น คุณอาจเปลี่ยนจากสินเชื่อบ้านแบบคงที่เป็นสินเชื่อบ้านแบบลอยตัว
ก่อนที่คุณจะเลือกธนาคารและโปรโมชั่น คุณต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้:
- อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารต่างๆ เลือกธนาคารที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด
- ค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการขอสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมการประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ เลือกธนาคารที่เสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำที่สุด
- โปรโมชั่น: หลายธนาคารเสนอโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ดอกเบี้ยพิเศษ เงินคืน หรือของแถม เปรียบเทียบโปรโมชั่นต่างๆ และเลือกธนาคารที่เสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของคุณ
- บริการ: เลือกธนาคารที่มีบริการที่ดีและสะดวก
- ความน่าเชื่อถือ: เลือกธนาคารที่มีความน่าเชื่อถือและมั่นคง
เมื่อคุณพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว คุณสามารถเริ่มเปรียบเทียบธนาคารและโปรโมชั่นต่างๆ คุณสามารถใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบสินเชื่อบ้าน หรือปรึกษาโบรกเกอร์สินเชื่อบ้าน
ตัวอย่างการคำนวณ:
สมมติว่าคุณมีสินเชื่อบ้านคงเหลือ 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี คุณต้องการรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านกับธนาคารใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี
การคำนวณเงินออม:
- การผ่อนชำระรายเดือนปัจจุบัน: 8,066 บาท
- การผ่อนชำระรายเดือนใหม่: 7,554 บาท
- เงินออมต่อเดือน: 512 บาท
- เงินออมต่อปี: 6,144 บาท
- เงินออมรวม 20 ปี: 122,880 บาท
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า การรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน สามารถช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยได้ อย่างไรก็ตาม คุณควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารหลายแห่งก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์
ธนาคารที่น่าสนใจสำหรับการรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านในปี 2567:
- ธนาคารกรุงไทย: เสนออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ย 3.25% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรก ฟรีค่าธรรมเนียมการขอสินเชื่อ
- ธนาคารกรุงเทพ: เสนออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ย 3.35% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรก ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ธนาคารกสิกรไทย: เสนออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านเฉลี่ย 3.45% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรก ฟรี
สรุป
การรีไฟแนนซ์บ้าน 2567 เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ ช่วยให้ผู้กู้ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดภาระหนี้สิน และบริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้าน ผู้กู้ควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารต่างๆ เตรียมตัวให้พร้อม และเลือกธนาคารและโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการ
การรีไฟแนนซ์บ้าน เปรียบเสมือนการปลดล็อกศักยภาพของบ้าน เปลี่ยนภาระหนี้สิน ให้กลายเป็นโอกาสทางการเงิน
อยากเป็นเจ้าของบ้านไว ได้ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน คอนโด ถูกลง นอกจากจะต้องหาธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำแล้ว ยังจำเป็นต้องศึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการทำธุรกรรมขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และที่เกิดขึ้น ณ กรมที่ดิน ทางที่ดีควรตรวจสอบรูปแบบสินเชื่อรีไฟแนนซ์ เพราะบางธนาคารก็ใจดี ฟรีค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น แถมยังได้ข้อเสนอ โปรโมชันพิเศษจากการซื้อบ้าน ซื้อคอนโด อีกด้วย
#รีไฟแนนซ์ #HousingChewathai